การใช้ฮอร์โมนทดแทนเสมือนธรรมชาติ
BIOIDENTICAL HRT : การใช้ฮอร์โมนทดแทนเสมือนธรรมชาติ
ในร่างกายคนเรามีการสร้างฮอร์โมนหลากหลายชนิด รวมถึงเกิดอนุพันธ์ของฮอร์โมนอีกหลายรูปแบบ ชีวิตของคนเรานั้นขับเคลื่อนด้วยฮอร์โมน และอนุพันธ์เหล่านี้แหละ หิวก็เกิดจากฮอร์โมน อิ่มก็ฮอร์โมน ดีใจก็ฮอร์โมน เครียดก็ฮอร์โมน แม้แต่การสร้าง หรือทำลายอวัยวะต่างๆ ก็ฮอร์โมน
จะกล่าวว่าฮอร์โมนคือชีวิตก็คงไม่ผิด สังเกตได้ว่าเมื่อยังหนุ่มสาว ฮอร์โมนพุ่งพล่าน เป็นช่วงพีคของชีวิต มีกำลังวังชา ทำงานหามรุ่งหามค่ำ กินอะไรก็เผาผลาญดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สมองแล่นดี ป่วยก็หายเร็ว โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ค่อยมี แต่พอแก่ตัวลงฮอร์โมนถดถอย โรคภัยถามหา เรี่ยวแรงหายจาก หน้าเหี่ยว ตีนกาเป็นร่องลึก กล้ามเนื้อลีบ น้ำหนักขึ้น ยิ่งผู้หญิงวัยทอง หมดประจำเดือน อาการต่างๆ ยิ่งชัดเจน แถมด้วยอารมณ์แปรปรวน โรคหัวใจ สมองไม่แล่น กระดูกพรุน ช่องคลอดแห้งคัน
หากเราสามารถเติมฮอร์โมนที่ลดลงให้กลับมาเท่าแต่ก่อน ก็จะสามารถย้อนวัยกลับไปได้อีกครั้งหนึ่ง
bioidentical hormone
ฮอร์โมนที่หน้าตาเหมือนกับฮอร์โมนธรรมชาติเป๊ะๆ 100% มีทั้งแบบสกัดจากธรรมชาติ และแบบสังเคราะห์ ไม่พบผลข้างเคียง
What is bioidentical hormone? (ฮอร์โมนเสมือนธรรมชาติคืออะไร)
Bio = ชีว = ในธรรมชาติ
Identical = เหมือนเป๊ะ
hormone = ฮอร์โมน
Bio-identical hormone = ฮอร์โมน(เสมือน)ธรรมชาติ
Bio-identical Hormone Replacement Therapy (BHRT) = การใช้ฮอร์โมนทดแทนเสมือนธรรมชาติ
ฮอร์โมนในร่างกายเราคือฮอร์โมนธรรมชาติ ฮอร์โมนทั่วไปที่ใช้ตามโรงพยาบาล เช่น ยาคุมกำเนิด ยาฮอร์โมนวัยทอง เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ทำให้หน้าตาคล้ายฮอร์โมนธรรมชาติ ซึ่งมีความแรงมากกว่าฮอร์โมนธรรมชาติหลายเท่า จึงมีผลข้างเคียงที่รุนแรง ทั้งหน้าบวม ออกสิว น้ำหนักขึ้น กระดูกพรุน เลือดข้นจับเป็นลิ่ม หรือแม้กระทั่งโรคหัวใจ แต่บางคนก็จงใจใช้ฮอร์โมนเพื่อหวังผลข้างเคียง เช่น หน้าอกโต ผิวเรียบเนียนสวยงาม เป็นต้น
ส่วนฮอร์โมน(เสมือน)ธรรมชาติ หรือ Bio-identical hormone เป็นฮอร์โมนที่หน้าตาเหมือนกับฮอร์โมนธรรมชาติเป๊ะๆ 100% มีทั้งแบบสกัดจากธรรมชาติและแบบสังเคราะห์ แต่เนื่องด้วยโครงสร้างที่เหมือนฮอร์โมนในร่างกายของเราเป๊ะ การทำงานจึงเสมือนฮอร์โมนธรรมชาติทุกประการ และไม่พบผลข้างเคียงที่เกิดจากฮอร์โมนที่ใช้โดยทั่วไป
Sex Hormone
ฮอร์โมนเพศ ที่อายุ 35 นี้เองที่ฮอร์โมนเพศ ทั้งเพศหญิง และเพศชาย ได้แก่ Estrogen Progesterone Testosterone จะเริ่มตกลง
Sex Hormone (ฮอร์โมนเพศ)
ช่วงชีวิตที่ฮอร์โมนพุ่งสูงสุดคือช่วงวัยรุ่น และเมื่ออายุประมาณ 25 ปี ฮอร์โมนตัวแรกก็เริ่มตกลง (อ่านไม่ผิดหรอก อายุแค่ 25 เราก็เริ่มแก่กันแล้ววว !!) ฮอร์โมนตัวแรกที่ตกลงคือ Growth hormone และเมื่ออายุ 30 Growth hormone จะอยู่ในระดับต่ำอย่างชัดเจน เวลาผ่านไปอีกไม่นาน แค่อายุ 35 เท่านั้นร่างกายเราจะไม่สามารถเร่งการสร้าง Growth hormone ได้อีกต่อไป และที่อายุ 35 นี้เองที่ฮอร์โมนเพศ ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ได้แก่ Estrogen Progesterone Testosterone จะเริ่มตกลง
จะเห็นได้ว่าคนเราเริ่มแก่ตั้งแต่วัยเบญจเพสกันเลยทีเดียว ดังนั้นหลังอายุ 25 เราจึงควรบำรุงสุขภาพ ดูแลสุขภาพมากขึ้น และสามารถเลือกใช้ฮอร์โมน(เสมือน)ธรรมชาติทดแทน เพื่อฟื้นฟูสุขภาพได้ด้วย
แต่ !!
การจะใช้ฮอร์โมนเพศ(เสมือน)ธรรมชาติทดแทนจำเป็นจะต้องตรวจระดับฮอร์โมนในร่างกายก่อน เพื่อวัดระดับฮอร์โมนที่มีในร่างกาย จึงจะปรับปริมาณฮอร์โมนที่ต้องการจะใช้ได้อย่างถูกต้อง ที่สำคัญคือต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และต้องมีติดตามผลการใช้ ปรับขนาดที่ใช้ ให้เหมาะสมอยู่เสมอ
การตรวจะดับฮอร์โมนสามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่นิยมคือการเจาะเลือด ซึ่งควรเจาะเลือดช่วงเช้า เวลา 08.00-09.00 น. จึงจะได้ผลแม่นยำที่สุด ส่วนวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจระดับฮอร์โมนคือการตรวจทางน้ำลาย แต่โดยทั่วไปการตรวจทางน้ำลายต้องส่งตรวจต่างประเทศ จึงไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทย ข่าวดีคือ Medtopia มีแผนกเทคนิคการแพทย์ให้บริการเป็นของตนเองภายใต้ชื่อ Alternate Laboratory ซึ่งได้นำเข้าการตรวจระดับฮอร์โมนทางน้ำลายมาใช้ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณสามารถส่งตรวจระดับฮอร์โมนทางน้ำลายได้ในราคาที่ถูกกว่าส่งต่างประเทศ 2-3 เท่า และไม่ต้องรอผลนานเป็นเดือน ALT Lab ใช้เวลาในการตรวจและรายงานผลให้คุณได้ภายใน 1 อาทิตย์เท่านั้น
Stress Hormone
เมื่อมีความเครียด ร่างกายจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนเข้ามาจัดการ 2 ชนิดหลักๆ คือ ฮอร์โมนเครียด (Cortisol) และฮอร์โมนต้านเครียด (DHEA)
Stress Hormone (ฮอร์โมนเกี่ยวข้องกับความเครียด)
เวลาพูดถึงความเครียด คนเราจะนึกถึงความเครียด้านจิตใจ ไม่ว่า่จะเป็นเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องบ้าน เรื่องครอบครัว แต่ในความเป็นจริงแล้วความเครียดไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีความเครียดใต้จิตสำนึก เช่น การดูละครตบตี การดูข่าวการเมือง รถติดบนถนน การทำงานที่ท้าทาย และความเครียดของร่างกาย เช่น การอดข้าวเช้า นอนดึก ท้องผูก ฟันผุ ได้รับสารพิษสะสม เป็นโรคเรื้อรังต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักถูกละเลย ไม่ได้รับการจัดการอย่างที่ควร เกิดเป็นความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมีความเครียด ร่างกายจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนเข้ามาจัดการ 2 ชนิดหลักๆ คือ ฮอร์โมนเครียด (Cortisol) และ ฮอร์โมนต้านเครียด (DHEA)
Cortisol เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมหมวกไต โดยมีสารตั้งต้นมาจาก Cholesterol มีหน้าที่ทำให้เรามีพลังงานในการต่อสู้กับความเครียดต่างๆในชีวิต ปกติร่างกายจะหลั่ง Cortisol มากที่สุดในตอนเช้า ช่วยให้เราตื่น สดชื่น มีพลังต่อสู้ในเช้าวันใหม่ แต่ถ้าเรามีความเครียดสะสมต่อมหมวกไตหลั่ง Cortisol ออกมามากเกินไป เกิดผลเสียของ Cortisol คือกระตุ้นให้เกิดการสลายตัวของร่างกายมากเกินไป ทำให้ร่างกายเสื่อมถอย แก่ชราลง เปรียบเหมือนนำพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ร่างกายโทรมถึงที่สุด ต่อมหมวกไตต้องดึงเอาฮอร์โมนอื่นๆ ทั้งฮอร์โมนต้านเครียด (DHEA) ฮอร์โมนเพศ (Estrogen, Progesterone, Testosterone) มาใช้สร้าง Cortisol จนหมด เกิดภาวะพร่องฮอร์โมน ร่างกายอ่อนล้า ระบบการทำงานต่างๆรวนไปหมด เรียกว่าภาวะต่อมหมวกไตล้า
บางคนเมื่อเกิดภาวะต่อมหมวกไตล้า การสร้างฮอร์โมนเกิดแปรปรวน จะพบว่าระดับ Cortisol ที่ควรสูงสุดในช่วงเช้าและต่ำในช่วงเย็น เปลี่ยนไปเป็นสูงในตอนเย็น แต่ต่ำมากตอนเช้า ทำให้ตื่นเช้าแล้วอ่อยเพลีย ไม่อยากลุกจากที่นอน ไม่อยากกินข้าวเช้า ลุกยืนแล้ววูบเวียน พอคล้อยบ่ายจะอยากกินขนม ของหวาน ของเค็ม หลังทานข้าวรู้สึกง่วงมาก ทำงานไม่ไหว ต้องการงีบหลับ แต่ตกดึกนอนไม่หลับเพราะ Cortisol ขึ้นสูง และอาจทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ ภูมิแพ้กำเริบได้อีกด้วย
การตรวจภาวะต่อมหมวกไตล้า จำเป็นต้องตรวจดูระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ได้แก่ ระดับฮอร์โมน DHEA, Estrogen, Progesterone, BioavailableTestosterone, Thyroid function test ในเลือดหรือน้ำลาย และระดับ Cortisol ในน้ำลาย 4 ช่วงเวลา (เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน) เพื่อหารูปแบบการหลั่ง Cortisol ในช่วงเวลาต่างๆว่าตรงตามที่ควรจะเป็นในธรรมชาติหรือไม่
เมื่อรู้รูปแบบและปริมาณของการหลั่งฮอร์โมนชนิดต่างๆครบถ้วนแล้ว แพทน์จะสามารถช่วยเลือกชนิดฮอร์โมน(เสมือน)ธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับสภาวะร่างกายของแต่ละคน และวางแผน เวลา ระยะเวลา ปริมาณ การใช้ฮอร์โมนได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย ได้ประสิทธิภาพจากการใช้ฮอร์โมนทดแทดเสมือนธรรมชาติสูงสุด
Melatonin
หากเมลาโทนินมีปริมาณสูงเพียงพอ ในเวลาที่เหมาะสม จะทำให้เราสามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น ยาวนานขึ้น และนอนได้อย่างมีคุณภาพ
Melatonin (ฮอร์โมนเมลาโทนิน)
เมลาโทนิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างต่อมไพเนียล ซึ่งจะหลั่งเมื่อไม่มีแสงสว่างในช่วงเวลากลางคืน โดยปกติจะเริ่มหลั่งน้อยๆตั้งแต่ 20.00 น. และหลั่งมากขึ้นในช่วง 21.00-22.00 น. ต่อมไพเนียลจะหลั่งเมลาโทนินน้อยลงเรื่อยๆตั้งแต่ประมาณ 02.00 น. โดยฮอร์โมนเมลาโทนินที่หลั่งออกมาแล้วจะคงอยู่ในร่างกายได้ประมาณ 12 ชั่วโมง และค่อยๆหายไปในตอนเช้า พร้อมกับพระอาทิตย์ขึ้น
ฮอร์โมนเมลาโทนินมีบทบาทสำคัญในการควบคุมนาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) ซึ่งเป็นตัวกำหนดการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายตลอดทั้งวัน เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนโดยตรง หากเมลาโทนินมีปริมาณสูงเพียงพอในเวลาที่เหมาะสมจะทำให้เราสามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น ยาวนานขึ้น และนอนได้อย่างมีคุณภาพ
นอกจากควบคุมการนอนแล้ว เมลาโทนินยังสามารถไล่จับสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย ช่วยปรับการทำงานของภูมิคุ้มกัน ลดการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็ง ลดการสลายกระดูก และในงานวิจัยยังพบว่าการใช้เมลาโทนินต่อเนื่องระยะยาวยังสามารถลดโอกาสการเกิดโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ จากการกลายพันธุ์ของพันธุกรรม ApoE4 ได้ด้วย
การเลือกใช้เมลาโทนิน มีหลายรูปแบบทั้งเม็ดกลืน อมใต้ลิ้น สเปรย์ใต้ลิ้น และครีมทาผิว โดยรูปแบบที่หาซื้อง่ายที่สุดแต่การออกฤทธิ์ต่ำสุดคือแบบเม็ดกลืน ส่วนรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด ใช้ปริมาณฮอร์โมนน้อยสุด แต่หาซื้อลำบาก คือแบบอมใต้ลิ้น
Pregnenolone
ฮอร์โมนบำรุงต่อมหมวกไต และสมอง ฮอร์โมนตัวแรกที่ร่างกายสร้างขึ้น การใช้ Pregnenolone เพียงเล็กน้อย สามารถลดภาวะต่อมหมวกไตล้าได้
Pregnenolone (ฮอร์โมนบำรุงต่อมหมวกไตและสมอง)
ในกลุ่มฮอร์โมนที่สร้างจาก Cholesterol ที่ต่อมหมวกไต ฮอร์โมน Pregnenolone เป็นฮอร์โมนตัวแรกที่ร่างกายสร้างขึ้น และสามารถนำไปสร้างเป็นฮอร์โมนตัวอื่นๆได้ทั้งหมด ดังนั้นการให้ Pregnenolone จึงสามารถช่วยบำรุงต่อมหมวกไต และเพิ่มการสร้างฮอร์โมนตัวอื่นๆ ทั้งฮอร์โมนเครียด (Cortisol) ฮอร์โมนต้านเครียด (DHEA) ฮอร์โมนเพศ (Estrogen, Progesterone, Testosterone, DHT) และฮอร์โมนควบคุมความดันและการขับน้ำที่ไต (Aldosterone)
การใช้ Pregnenolone เพียงเล็กน้อยสามารถลดภาวะต่อมหมวกไตล้าได้ และหากใช้ในปริมาณสูงต่อเนื่องมากกว่า 12 สัปดาห์ สามารถเพิ่มความทรงจำ และลดอาการปวดข้อจากข้ออักเสบได้ แต่เนื่องจากฮอร์โมน Pregnenolone จะต้องทำงานผ่านตับ ในผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคตับจึงไม่ควรใช้ในปริมาณสูง และตรวจเช็คค่าตับเป็นระยะๆ
- เหมาะสำหรับเด็ก อายุ 5-15 ปี
- เหมาะสำหรับหนุ่มสาววัยทำงาน
- เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ วัยทอง